การรักษาโรคที่สระน้ำ
1 หลังจากนั้นอีซาก็ขึ้นไปที่บัยตุลมักดิสเพื่อร่วมงานเทศกาลของพวกยาฮูดี
2 ที่ริมประตูแกะในบัยตุลมักดิสมีสระน้ำ ภาษาฮีบรูเรียกสระนั้นว่า เบธซาธา ที่นั่นมีศาลาห้าหลัง 3 ในศาลาเหล่านั้นมีคนป่วยจำนวนมาก มีทั้งคนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาตนอนอยู่ 5 ที่นั่นมีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว 6 เมื่ออีซาเห็นคนนั้นนอนอยู่ และทราบว่าเขาป่วยอยู่อย่างนั้นนานแล้ว ท่านจึงกล่าวกับเขาว่า “ท่านอยากจะหายเป็นปกติหรือเปล่า?” 7 คนป่วยคนนั้นตอบท่านว่า “ท่านเจ้าข้า เมื่อน้ำกำลังกระเพื่อมนั้น ไม่มีใครเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในสระ แล้วพอจะลงไปเอง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” 8 อีซากล่าวกับเขาว่า “ลุกขึ้นเถิด จงยกแคร่ของท่านเดินไป” 9 ทันใดนั้นเขาก็หายเป็นปกติและยกแคร่ของเขาเดินไป แต่วันนั้นเป็นวันบริสุทธิ์ 10 พวกยาฮูดีจึงพูดกับชายที่อีซารักษานั้นว่า “วันนี้เป็นวันบริสุทธิ์ การที่เจ้าแบกแคร่ไปนั้นผิดชารีอะฮ์” 11 คนนั้นจึงตอบพวกเขาว่า “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายสั่งว่า ‘จงยกแคร่ของท่านและเดินไป’ ” 12 พวกยาฮูดีถามเขาว่า “คนที่สั่งเจ้าว่า ‘จงยกแคร่และเดินไป’ นั้นเป็นใคร?” 13 คนที่ได้รับการรักษานั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะอีซาหายไปท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ที่นั่น 14 ภายหลังอีซาพบคนนั้นในบริเวณพระวิหารจึงกล่าวกับเขาว่า “นี่แน่ะ ท่านหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก เพื่อจะไม่มีเหตุเลวร้ายกว่านั้นเกิดกับท่าน” 15 ชายคนนั้นก็ออกไปบอกพวกยาฮูดีว่าคนที่ทำให้เขาหายนั้นคืออีซา 16 เพราะเหตุนี้พวกยาฮูดีจึงเริ่มต้นข่มเหงอีซา เพราะท่านทำสิ่งเหล่านี้ในวันบริสุทธิ์ 17 แต่อีซาตอบพวกเขาว่า “อัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดาของเรายังทรงทำงานอยู่เสมอ และเราก็ทำด้วย” 18 ซึ่งทำให้พวกยาฮูดียิ่งหาโอกาสที่จะฆ่าท่าน ไม่ใช่เพราะท่านฝ่าฝืนกฎวันบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ยังเรียกอัลลอฮฺเป็นบิดาด้วย ซึ่งเป็นการทำตัวเสมออัลลอฮฺ
สิทธิอำนาจของอัล–มะซีฮฺ
19 อีซากล่าวกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่าอัล–มะซีฮฺผู้เป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮฺจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้นอกจากที่ได้เห็นอัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดาทำ เพราะสิ่งใดที่อัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดาทำ สิ่งนั้นอัล–มะซีฮฺผู้เป็นที่รักยิ่งก็จะทำเหมือนกัน 20 เพราะว่าอัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดาทรงรักอัล–มะซีฮฺ และทรงสำแดงให้อัล–มะซีฮฺเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ และพระองค์จะทรงสำแดงให้อัล–มะซีฮฺเห็นการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีกที่พวกท่านจะประหลาดใจ 21 เพราะอัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดาทรงทำให้คนที่ตายแล้วฟื้นขึ้นจากความตายและประทานชีวิตให้อย่างไร อัล–มะซีฮฺผู้เป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮฺก็จะให้ชีวิตแก่คนที่ท่านปรารถนาจะให้อย่างนั้น 22 เพราะว่าอัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับอัล–มะซีฮฺผู้เป็นที่รักยิ่ง 23 เพื่อทุกคนจะได้ยกย่องอัล–มะซีฮฺเหมือนที่พวกเขายกย่องอัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดา คนไหนไม่ยกย่องอัล–มะซีฮฺ คนนั้นก็ไม่ยกย่องอัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดาผู้ทรงส่งท่านนั้นมา 24 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครฟังคำของเราและศรัทธาผู้ทรงส่งเรามา คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษา แต่ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว
25 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า เวลากำหนดนั้นใกล้จะถึงแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนตายจะได้ยินเสียงอัล–มะซีฮฺผู้เป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮฺ และบรรดาคนที่ได้ยินจะมีชีวิต 26 เพราะว่าอัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์เองอย่างไร พระองค์ก็ทรงให้อัล–มะซีฮฺผู้เป็นที่รักยิ่ง มีชีวิตในท่านเองอย่างนั้น 27 และทรงให้อัล–มะซีฮฺมีสิทธิที่จะทำการพิพากษาเพราะท่านเป็นบุตรมนุษย์ 28 อย่าประหลาดใจในข้อนี้เลย เพราะใกล้จะถึงเวลาที่ทุกคนที่อยู่ในกุโบรจะได้ยินเสียงของท่าน 29 และจะก้าวออกมา คนที่ประพฤติดีก็ฟื้นขึ้นสู่ชีวิต คนที่ประพฤติชั่วก็ฟื้นขึ้นสู่การพิพากษา
บรรดาพยานของอีซา
30 “เราจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไรเราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเราไม่ได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามา 31 ถ้าเราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง คำพยานของเราก็ไม่จริง 32 แต่ยังมีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานให้แก่เรา และเรารู้ว่าคำพยานที่พระองค์ทรงให้แก่เรานั้นเป็นความจริง 33 พวกท่านส่งคนไปหานบียะหฺยา และนบียะหฺยาก็เป็นพยานถึงความจริง 34 เราไม่ต้องให้มนุษย์มาเป็นพยานให้ แต่การที่เราพูดถึงเรื่องนี้ก็เพื่อให้พวกท่านศรัทธาและรอด 35 นบียะหฺยาเป็นตะเกียงที่จุดสว่างไสว และพวกท่านก็ชื่นชมในความสว่างของนบียะหฺยาอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง 36 แต่คำพยานที่เรามีนั้นยิ่งใหญ่กว่าคำพยานของนบียะหฺยา เพราะว่างานที่อัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดาทรงมอบให้เราทำให้สำเร็จและเป็นงานที่เรากำลังทำอยู่นั้น เป็นพยานให้กับเราว่าอัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดาทรงส่งเรามา 37 และอัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาก็ทรงเป็นพยานให้กับเราด้วย พวกท่านไม่เคยได้ยินเสียงของพระองค์ และไม่เคยเห็นรูปร่างของพระองค์ 38 และท่านไม่มีพระดำรัสของพระองค์อยู่ในตัวท่าน เพราะว่าพวกท่านไม่ได้ศรัทธาผู้ที่อัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดาทรงส่งมานั้น 39 พวกท่านค้นดูในคัมภีร์บริสุทธิ์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ แต่คัมภีร์บริสุทธิ์นั้นเองได้เป็นพยานให้กับเรา 40 แต่พวกท่านก็ยังไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต 41 เราไม่ยอมรับเกียรติจากมนุษย์ 42 แต่เรารู้ว่าพวกท่านไม่มีความรักของอัลลอฮฺในตัวท่าน 43 เรามาในพระนามอัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดาของเราและพวกท่านไม่ยอมรับเรา ถ้าคนอื่นมาในนามของเขาเอง พวกท่านก็จะรับคนนั้น 44 พวกท่านจะศรัทธาได้อย่างไรในเมื่อท่านรับเกียรติจากกันและกันเองและไม่ได้แสวงหาเกียรติที่มาจากพระองค์คืออัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ? 45 อย่าคิดว่าเราจะฟ้องพวกท่านต่ออัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระบิดา มีคนฟ้องท่านแล้วคือนบีมูซาผู้ที่พวกท่านตั้งความหวัง 46 ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อนบีมูซา ท่านก็น่าจะเชื่อเรา เพราะนบีมูซาเขียนถึงเรา 47 แต่ถ้าพวกท่านไม่เชื่อเรื่องที่นบีมูซาเขียนแล้ว ท่านจะเชื่อถ้อยคำของเราได้อย่างไร?”